FAQS

  • ฝังเข็มดีอย่างไร ?
      การฝังเข็มเป็นศาสตร์การรักษาโรคและอาการต่าง ๆ ของจีนโบราณ ในทางกายภาพหรือทางสรีระวิทยาแล้ว เส้นลมปราณ (Meridian Line) ที่กล่าวอ้างในวิธีการรักษา รวมไปถึงกลไกลหรือวิธีการรักษายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการแพทย์หรือวิทยาศาตร์สมัยใหม่ ประสิทธิภาพในการรักษาอาจไม่ได้อยู่ที่การฝังเข็มอย่างเดียว แต่อาจเป็นผลมาจากการกระตุ้นไฟฟ้าที่นำมาใช้ร่วมกับการฝังเข็ม หรือในทางวิทยาศาตร์เรียกว่า TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation) เป็นเครื่องที่ใช้ในการลดอาการปวดโดยการกระตุ้นเส้นประสาทผ่านทางผิวหนัง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีการศึกษาที่ชัดเจนในปัจจุบัน
      ประมาณปี 2014 ได้มีการอภิปรายเป็นลายลักษณ์อักษรในหัวข้อ การฝังเข็มสามารถรักษาโรคได้จริงหรือเป็นเพียงอุปทานหมู่ โดยนักวิจัยเกี่ยวกับการฝังเข็มคือ Shu-Ming Wang (MD), Richard E. Harris (PhD), Yuan-Chi Lin (MPH), Tong-Joo Gan (MD), Steven Novella (MD) และ David Colquhoun (PhD) มีการทำวิจัยทางคลินิคเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการฝังเข็ม ได้ผลสรุปของการวิจัยในครั้งนั้นว่า ประสิทธิภาพในการรักษาด้วยการฝังเข็มดูเหมือนว่าจะมีเพียงน้อยนิดหรืออาจไม่สามารถรักษาโรคได้เลย อาจเป็นเพียงอุปทานหมู่
      แพทย์และนักวิทยาศาตร์หลายต่อหลายคนทำการศึกษาและอภิปรายเกี่ยวกับการฝังเข็ม แต่ยังไม่มีใคร ที่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับการฝังเข็มได้ทั้งหมด ว่าอะไรคือกลไกลการทำงานของการฝังเข็ม ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดได้อย่างไร สามารถบรรเทาความเจ็บปวดจากอาการของโรคต่าง ๆ ได้จริงหรือไม่ ในปัจจุบันประสิทธิภาพของการฝังเข็มยังไม่สามารถอธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์ระดับโมเลกุล แต่ดูเหมือนว่าอาการที่ดีขึ้นจะเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยคิดไปเอง
  •   “การครอบแก้ว” เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของแพทย์แผนจีนที่มีมากว่า 2,000 ปี เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชนชาติจีนที่ผ่านการหล่อหลอมจากการศึกษาค้นคว้า พัฒนา และสะสมประสบการณ์อันล่ำค่าตลอดระยะเวลาที่ต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิด จนกลายเป็นแบบวิชาบำบัดโรคที่มีการบันทึกอยู่ในตำราแพทย์จีนหลายเล่ม
      ปัจจุบันการครอบแก้วเป็นศาสตร์แพทย์แผนจีนที่ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางทั่วโลก ด้วยเป็นวิธีที่ประหยัด สะดวก ปลอดภัย และไม่มีผลข้างเคียง อีกทั้งยังได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
      การครอบแก้วเป็นวิธีที่ใช้ภาชนะถ้วยหรือแก้วเป็นอุปกรณ์ในการบำบัด โดยใช้ความร้อนจากการเผาไหม้หรือวิธีอื่นในการระบายไล่อากาศภายในภาชนะออกให้เป็นสุญญากาศจนสามารถครอบภาชนะนั้นลงบนผิวหนังที่ต้องการบำบัด ความอุ่นร้อนภายในภาชนะและแรงดูดจะกระตุ้นให้ผิวหนังปรากฏสีของเลือดคั่งอุดตัน เป็นวิธีดูดพิษ ทะลวงเส้นลมปราณ และสลายเลือดคั่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บนั่นเอง
      เนื่องจากแพทย์แผนจีนเชื่อว่า เส้นลมปราณเป็นท่อลำเลียงของชี่และเลือดที่มีเครือข่ายกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ภายในครอบคลุมถึงอวัยวะตันและกลวง ส่วนภายนอกเชื่อมต่อแขนขาและข้อต่อต่างๆ แต่เมื่อยามเจ็บป่วย สมรรถนะของเลือดลมในเส้นลมปราณจะขาดความสมดุล มีผลให้ชี่หนืดเลือดคั่ง เส้นลมปราณอุดตันจนเกิดอาการเจ็บป่วย เป็นต้น การครอบแก้วสามารถกระตุ้นปรับชี่ในเส้นลมปราณให้เกิดการไหลเวียนสะดวก เพื่อไปกระตุ้นสมรรถนะของระบบอวัยวะตันและอวัยวะกลวงต่าง ๆ ช่วยให้เส้นลมปราณและอวัยวะสำคัญทำงานปกติ สามารถเพิ่มภูมิต้านทาน การครอบแก้วได้ชื่อว่าเป็นศาสตร์ที่เป็นเลิศในด้านการบำบัดอาการปวด เมื่อผนวกเข้ากับหลักทฤษฎีเส้นลมปราณ การครอบแก้วยิ่งมีผลต่อการบำบัดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากแก้อาการปวดเรื้อรังตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแล้วยังสามารถบำบัดหรือบรรเทาโรคไหล่ติด ท้องผูก ปวดเอว ออฟฟิศซินโดรม เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และปวดประจำเดือน เป็นต้น
      การครอบแก้วเป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนจีนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สามารถเรียนรู้ได้ง่ายด้วยอุปกรณ์ที่ราคาไม่แพง เห็นผลชัดเจน ปัจจุบันการครอบแก้วยังคงเป็นที่นิยมเนื่องจากมีผู้ที่ได้รับประโยชน์เป็นจำนวนมาก จึงมีการเผยแพร่วิชานี้ไปยังจุดต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
  •   การแพทย์แผนจีนมองการนอนหลับอย่างไร เนื่องจากร่างกายของคนเรามีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยการขับเคลื่อนของพลังลมปราณ (ชี่) การเคลื่อนไหวภายนอกขณะตื่นนอนอยู่ เป็นการแสดงออกของพลังลมปราณที่อยู่รอบนอกที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกัน ปัจจัยก่อโรคที่กระทำจากภายนอก เรียกพลังปกป้องนี้ว่า พลังเว่ยชี่ พลังเว่ยชี่ คือพลังหยางที่อยู่ภายนอก จะเคลื่อนไหวในช่วงกลางวันและช่วงตื่นนอน เมื่อตกกลางคืนพลังเว่ยชี่จะเคลื่อนที่กลับสู่ภายในร่างกาย เข้าสู่เส้นลมปราณยิน คือเข้าสู่อวัยวะภายในเป็นหยิงชี่ ถ้าพลังเว่ยชี่กลับสู่ภายในมากที่สุด ร่างกายก็จะหลับสนิท มากที่สุด ถ้าเมื่อใดพลังเว่ยชี่ออกจากเส้นลมปราณยิน คนก็จะตื่นนอนหรือหลับไม่สนิท การนอนหลับจึงถูกกำหนดจากความเปลี่ยนแปลงของความมืดสว่างของกลางวัน กลางคืน ที่กำหนดภาวะพลังเว่ยชี่ออกสู่ภายนอกหรือเข้าสู่ภายในร่างกาย การนอนหลับที่ละเมิดกฎเกณฑ์ธรรมชาติเช่นนี้นานๆ จะทำให้สมดุลของการเคลื่อนไหวของเว่ยชี่ผิดเพี้ยน และรบกวนการนอนหลับที่ดีในระยะยาว คนที่กลางวันมีชีวิตชีวา กลางคืนง่วงนอนจึงเป็นภาวะปกติ คนสูงอายุ เลือดและพลังพร่อง กล้ามเนื้อฝ่อลีบ ทางเดินลมปราณของชี่ แห้ง ตีบตัน พลังหยวนชี่ไม่พอ (การเก็บสำรองพลังที่ไตน้อยลง) กลางวันจึงไม่มีพลัง ขาดชีวิตชีวา อยากจะนอนหลับ แต่พอตกกลางคืนพลังและสารจิงกลับไม่พอ (กลางวันไม่เก็บรับพลังหยาง ก็ไม่สามารถสร้างสารจิงได้พอเพียง บวกกับภาวะเสื่อมถอยของไต) ทำให้คนอายุมาก มีปัญหาการนอนหลับที่กลับกันกับธรรมชาติ นอกจากจะสะท้อนภาวะสุขภาพที่ไม่ดีแล้ว ยังเป็นวงจรการนอนหลับที่ไม่เป็นผลดีกับร่างกาย
  •   โรคเกาต์ ถือเป็นโรคข้ออักเสบที่มีคนรู้จักมากที่สุด รู้จักมากจนบางคนถึงกับเหมาเอาว่าถ้าใครป่วยเป็นโรคข้อ หรือมีอาการปวดข้อก็เป็นโรคเกาต์แล้ว มักจะมีคำแนะนำให้ผู้ที่มีอาการปวดข้อหรือเป็นโรคข้ออักเสบว่า ห้ามรับประทานเป็ด รับประทานไก่ หรือรับประทานเครื่องในสัตว์
      จริงๆ แล้วโรคเกาต์ไม่ใช้โรคข้อที่พบมากที่สุด เพราะมีคนเป็นน้อยกว่าโรคข้อเสื่อม และผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบต่างๆ ซึ่งมีโรคข้ออักเสบอยู่หลายสิบโรค เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรับประทานเป็ด ไก่ หรือเครื่องในสัตว์
      อย่างไรก็ตามถึงแม้โรคเกาต์เป็นโรคเก่าแก่ที่เป็นที่รู้จักกันมานาน มีการรักษากันมานาน แต่คนเราเพิ่งตระหนักถึงความน่ากลัวจริงๆ ของโรคเกาต์เมื่อไม่นานมานี้
      โรคเกาต์เป็นโรคที่มีการกล่าวถึงมาตั้งแต่สมัยกรีก โรมัน หรือในประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่เมื่อ 5 พันปีก่อน ทั้งนี้เนื่องมาจากโรคเกาต์ได้ชื่อว่าเป็นโรคของพระจักรพรรดิ (disease of the Emperor) เนื่องจากในสมัยอดีตมีแต่พระจักรพรรดิหรือเศรษฐีผู้มีอันจะกินเท่านั้นที่จะได้กินเป็ด กินไก่ กินเหล้า ได้บ่อยๆ จนเป็นโรคเกาต์ ประกอบกับจะมีแต่เรื่องราวของพระจักรพรรดิที่จะได้รับการบันทึกลงในประวัติศาสตร์ โรคเกาต์จึงเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
      นอกจากนี้ความที่เวลาเป็นข้ออักเสบจากโรคเกาต์อาการจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันทันที ขนาดที่ตอนกลางวันยังไปทำงานปกติ ตอนเย็นไปทานเลี้ยง ทานเป็ด ทานไก่ หรือทานอาหารมากหน่อย หรืออาจทานเหล้าเบียร์ด้วย พอกลับถึงบ้าน ข้อเท้าก็บวมแดงปวดมากขึ้นมาทันที อาการข้ออักเสบจะทำให้ข้อบวมแดงและปวดมากขนาดแตะไม่ได้ ขยับไม่ได้เลย ทีเดียว คนจึงมักจะรู้จักโรคเกาต์ดี ข้อที่อักเสบมักจะเป็นข้อโคนนิ้วหัวแม่โป้งเท้า หรือข้อเท้า จะเป็นข้อเดียวเท่านั้น นี่เป็นตัวอย่างเหตุการณ์ของการเกิดโรคเกาต์ครั้งแรกๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเกาต์
  •   ฝังเข็มเพื่อความงาม โดยมีหลักการปรับสมดุลภายใน ทำให้สุขภาพภายในร่างกายดีขึ้น ส่งผลต่อผิวพรรณ เป็นการชะลอความเสื่อมของผิวหนัง เป็นการทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น รวมทั้งมีกลไกในการเพิ่มคอลลาเจน ดังนั้น จึงทำให้ปัญหาผิวพรรณบนใบหน้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝ้า กระ สิว ริ้วรอย รอยคล้ำรอบดวงตา ถุงใต้ตา ผื่นแพ้ ผิวหนังอักเสบ มีอาการดีขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าในบางคนจะไม่ค่อยมีปัญหาผิวพรรณมากนัก แต่เมื่อฝังเข็มรักษาแล้วผิวก็จะดูเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ทำให้ผิวพรรณสดใสดูสุขภาพดี นอกจากนี้ยังสามารถฝังเข็มหน้ารูปตัววีหรือฝังเข็มยกกระชับใบหน้าได้ด้วย
      โดยกลไกการรักษาของการฝังเข็ม คือ เมื่อเวลาที่ปักเข็มลงไป จุดที่ถูกกระตุ้นจะส่งสัญญาณไปทั่วร่างกาย ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงสัญญาณ โดยเชื่อมต่อกับอวัยวะนั้นๆ โดยมีการสันนิษฐานว่าอาจมีการผ่านระบบต่างๆ ของฮอร์โมน โกรทแฟคเตอร์ ระบบที่เกี่ยวข้องกับเลือด และระบบภูมิคุ้มกัน มีการศึกษาที่ตัดชิ้นเนื้อจากการถูกกระตุ้นด้วยการฝังเข็มมาตรวจดู พบว่าสัญญาณการรักษายังคงอยู่ในเนื้อเยื่อ ซึ่งทำให้ผลรักษาจากการฝังเข็มยังดีต่อไปเรื่องๆ การฝังเข็มจึงช่วยในเรื่องของการชะลอวัย ผิวพรรณ และความงามได้ ซึ่งขนาดและปริมาณของเข็มที่นำมาใช้ การเลือกตำแหน่งฝังเข็มเพื่อให้ได้ลมปราณหรือเต๋อชี่ ขึ้นกับคนไข้แต่ละคน และดุลยพินิจและประสบการณ์ของแพทย์ บางคนอาจใช้ไม่ถึง 10 เล่ม แต่บางคนก็อาจจะประมาณเกือบร้อยเล่ม เข็มที่เลือกใช้ก็มีหลากหลายขนาด แต่เป็นเข็มเบอร์เล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 0.1 ถึง 0.3 มิลลิเมตร มีความยาวตั้งแต่ 6, 8, 13, 25, 40, 50 และ 75 มิลลิเมตร เข็มที่ใช้ในการฝังเข็มต่างจากเข็มที่ใช้ฉีดยา คือ มีการบาดเจ็บในเนื้อเยื่อน้อยกว่า
      ยกตัวอย่างผลของการฝังเข็มที่ช่วยรักษาฝ้า มีการศึกษาเรื่องของการรักษาฝ้าด้วยการฝังเข็มและการใช้ยามาตรฐาน ใช้จำนวนการรักษาประมาณ 20 ครั้ง อาทิตย์ละ 2 ครั้ง พบว่าในกลุ่มที่ฝังเข็มรักษาฝ้าค่อนข้างได้ผลดี เมื่อเทียบกับยามาตรฐาน ในบางรายบอกว่าฝ้าลดลงและหลังหยุดการรักษาแล้ว ปรากฏว่าฝ้ายังดีต่อไปอีก ในกลุ่มรักษาด้วยยาฝ้าลดลงเช่นกัน แต่หลังหยุดการรักษาแล้วในบางรายฝ้าสามารถกลับมาได้อีก นอกจากนี้ในกลุ่มฝังเข็มยังมีสุขภาพที่ดีขึ้น อาการเพลียเรื้อรังดีขึ้น รู้สึกสดชื่น นอนหลับดี ปวดเมื่อยร่างกายลดลง ปวดศีรษะไมเกรนดีขึ้น ภูมิแพ้ดีขึ้น ระบบการขับถ่ายดีขึ้น และคนที่อายุมากที่มีอาการร้อนวูบวาบใกล้วัยทองก็รู้สึกดีขึ้น
  •   ภาวะเลือดคั่งคืออะไร
      ภาวะเลือดคั่ง ในการแพทย์จีนหมายถึงกลุ่มโรคที่เกิดจากการไหลเวียนของเลือดช้าลง เลือดมีความหนืดมากเกินไป ทำให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ และในขณะเดียวกันคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียที่เกิดจากการทำงานของเซลล์ไม่สามารถนำออกมาได้ ส่งผลให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ซีสต์ เนื้องอกในมดลูก รังไข่และเต้านม นอนไม่หลับ ปวดศีรษะเรื้อรัง เลือดมีความเหนียวหนืดผิดปกติ เป็นต้น

      ภาวะเลือดคั่งเกิดจากสาเหตุอะไร
      ในทัศนะการแพทย์จีน การไหลเวียนของเลือดจะต้องอาศัยแรงผลักดันจากพลังชี่ ซึ่งกล่าวได้ว่า พลังวิ่งเลือดเดิน พลังนิ่งเลือดหยุด ถ้าพลังชี่สะดุดหรือถูกขัดขวาง เลือดก็จะไหวเวียนช้าลงมีความเข้มข้นและความหนืดมากผิดปกติจนจับตัวเป็นลิ่มคั่งค้างอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย นานวันเข้าก็จะเกิดความร้อน มีอาการบวม แดง อักเสบและเจ็บปวด หรือเกิดอาการชา กล้ามเนื้อฝ่อลีบ รวมทั้งเกิดความผิดปกติทั้งขนาด รูปร่างและการทำงานของเส้นเลือด เช่น เส้นเลือดมีการหดเกร็ง ตะคริว ขยายตัวผิดรูปหรือขอดตัว เกล็ดเลือดและเซลล์เม็ดเลือดมีการจับตัวผิดปกติเลือดมีความข้นและความหนืดมากขึ้น เป็นต้น ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานผิดปกติมากขึ้น อวัยวะต่างๆ จึงได้รับการหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้


copyright © 2018 www.amazewellnesscenter.com All Rights Reserved